ประวัติ ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก

Spread the love
heb72ebf.jpg

พระสุพรหมยานเถร (ครูบาพรหมา พรหมจักโก) เดิมชื่อ พรหมา พิมสาร เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2441 ณ บ้านป่าแพ่ง อำเภอ ป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นบุตรของพ่อเป็ง และแม่บัวถา มีพี่น้องทั้งหมด 13 คน บิดามารดาของท่านเป็นผู้มีฐานะ มีอาชีพทำนา ทำสวน ประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีความขยันขันแข็ง มีจิตใจหนักแน่นในกุศลธรรม รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ในบั้นปลายชีวิตบิดาของท่านได้ออกบวช เป็นที่รู้จักกันในนามของครูบาพ่อเป็ง โพธิโก มารดาของท่านได้นุ่งขาวรักษาอุโบสถศีลจนถึงแก่กรรม สำหรับพี่น้องของท่านที่ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา จนมีชื่อเสียงได้แก่ พระสุธรรมยานเถร (ครูบาอินทรจักรรักษา วัดน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งเป็นพี่ชาย และพระครูสุนทรคัมภีรญาณ (ครูบาคัมภีระ วัดดอยน้อย จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งเป็นน้องชาย

การศึกษา

ในขณะเยาว์วัยครูบาพรหมาได้รับการศึกษาอักษรล้านนาและไทยกลางที่บ้านจากพี่ชายที่ได้บวชเรียนแล้วสึกออกไป เมื่อท่านได้บรรพชาแล้วจึงได้ท่องจำบทสวดมนต์ และเข้าโรงเรียนประชาบาลจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เมื่ออุปสมบทแล้วจึงได้ศึกษานักธรรมด้วยตนเอง ในปี พ.ศ. 2462 ทางการคณะสงฆ์ได้จัดสอบนักธรรมสนามหลวงขึ้น ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยพระมหานายกเป็นผู้นำข้อสอบมาสอบยังวัดพระเชตุพน ในครั้งนั้นมีพระภิกษุเข้าสอบจำนวน 100 รูป ผลการสอบปรากฏว่ามีพระภิกษุที่สอบผ่านจำนวน 2 รูป คือ ครูบาพรหมา และพระทองคำ วัดเชตุพน จังหวัดเชียงใหม่ นับว่าครูบาพรหมาเป็นพระรูปแรกของจังหวัดลำพูนที่สอบนักธรรมได้ ภายหลังจากสอบนักธรรมได้แล้ว ท่านได้พยายามหาความรู้ด้านการปฏิบัตธรรมจากครูบาอาจารย์หลายรูป อาทิ พระครูพิทักษ์พลธรรม (ครูบาหวัน มหาวโน) พระสุธรรมยานเถร (ครูบาอินทรจักรรักษา) ผู้เป็นพระพี่ชาย ครูบาแสน ญาณวุฑฒิ วัดหนองเงือก ครูบาบุญมา ปารมี วัดกอม่วง เป็นต้น

บรรพชาและอุปสมบท

ครูบาพรหมา ได้บรรพชาเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2455 ขณะอายุได้ 15 ปี ณ วัดป่าเหียง ตำบลแม่แรง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน โดยมีครูบาแก้ว ขัตติโย (ครูบาขัตติยะ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2461 ท่านได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดป่าเหียง โดยมีครูบาขัตติยะเป็นพระอุปัชฌาย์

ออกธุดงค์

เมื่อครูบาพรหมาอายุได้ 24 ปี บวชได้ 4 พรรษา ท่านได้ออกธุดงค์ โดยครั้งแรกไปจำพรรษา ณ ดอยน้อย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้นท่านได้ธุดงค์ไปในสถานที่ด่างๆ ทั่วภาคเหนือ และประเทศพม่า และได้จำพรรษาในเขตพม่าเป็นเวาถึง 5 ปี ท่านได้จาริกธุดงค์ถึง 20 พรรษา โดยถือธุดงควัตร อยู่ป่าเป็นวัตร ออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ฉันภัตตาหารมื้อเดียว นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ท่านเพียรพยายามอดทนด้วยวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่สุด

ภายหลังจากธุดงค์เป็นเวลานาน ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษาที่วัดหนองเจดีย์ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นเวลา 4 พรรษา หลังจากนั้นได้มาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า 1 พรรษา อยู่วัดม่อนมะหิน 2 พรรษา ก่อนจะย้ายกลับไปจำพรรษาอยู่วัดป่าหนองเจดีย์อีก 2 พรรษา ถึงแม้ว่าในช่วงปัจฉิมวัยครูบาพรหมาจะได้จำพรรษาเป็นประจำ ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้าแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ทิ้งธุดงควัตร หากโอกาสเหมาะท่านก็จะพาพระเณรออกธุดงค์เป็นประจำ

บูรณะวัดพระพุทธบาทตากผ้า

ในปี พ.ศ. 2491 ครูบาพรหมาได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า และได้จำพรรษาอยู่วัดนี้เรื่อยมาจนมรณภาพ ท่านได้เป็นประธานอำนวยการบูรณะวัดพระพุทธบาทตากผ้า เช่น ต่อเติมยอดมณฑปวิหารครอบรอยพระพุทธบาทที่ครูบาศรีวิชัยได้มาบูรณะไว้ สร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ศาลาพระปริยัติธรรม นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม “พรหมจักรสังวรกิตติขจรประชาสรรค์” และเป็นประธานในการบูรณะวัดพระนอนม่อนช้าง วัดป่าหนองเจดีย์ วัดม่อนมะหิน วัดบ้านหวาย และวัดช้างค้ำ เป็นต้น

หนังสือธรรมะ

ครูบาพรหมาได้เผยแพร่ธรรมะ แสดงพระธรรมเทศนา และเขียนหนังสือธรรม และสุภาษิตคำสอนหลายเล่ม อาทิ หนังสือคำถามคำตอบ เรื่องหนานตั๋นกับหนานปัญญา หนังสือสุภาษิตคำสอน หนังสือทน ศีล ภาวนา หนังสือคำถามคำตอบ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา หนังสืออภิณหปัจเวกขณ์ หนังสือเขมสรณาคมน์ เป็นต้น

สมณศักดิ์

เนื่องจากครูบาพรหมาได้ประกบคุณงามความดีแก่พระพุทธศาสนา ตลอดจนเผยแพร่ธรรมะแก่ศรัทธาสาธุชน เป็นผู้มีวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัด มีปฏิปทาอันงดงาม จนเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ท่านจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูพรหมจักรสังวร ฝ่ายอรัญวาสี ปี 2500 ต่อมาจึงได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสุพรหมยานเถร ในปี พ.ศ. 2519

มรณภาพ

ครูบาพรหมาได้บำเพ็ญสมณธรรมจนย่างเข้าสู่วัยชรา และได้เกิดอาการอาพาธ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านได้ตื่นจากการจำวัดแต่เช้า และปฏิบัติธรรมตามกิจวัตร เมื่อถึงเวลาท่านลุกนั่งสมาธิ และได้ดับขันธ์ (มรณภาพ) ในท่านั่งสมาธิภาวนาในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2527 คณะศิษยานุศิษย์ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลเป็นเวลา 3 ปี ก่อนจะได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2531 ภายหลังจากพระราชทานเพลิงศพแล้ว อัฐิของท่านได้แปรเป็นพระธาตุมีวรรณะสีต่างๆ ซึ่งสร้างความปิติโสมนัสแก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง