ปรโลกหรือความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์เป็นปัญหาที่ยังค้างคาใจของหลายคน และเป็นความเชื่อมานานทุกยุคทุกสมัย แม้บางคน จะมีความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยได้เห็นจริงในสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเอง ก็คงเชื่อแบบไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ทีนี้เราจะมีวิธีการพิสูจน์เรื่องนี้อย่างไร แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้าไปมาก มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย สามารถค้นพบ ความจริงของธรรมชาติได้หลายประการ แต่การใช้วิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์ปรโลกนั้น ยังไม่อาจทำได้ แม้จะมีการทดลองกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
การพิสูจน์ปรโลกในครั้งสมัยพุทธกาล
เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมและนำมาเผยแผ่ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในประเทศอินเดียมีเจ้าศาสดาหลายศาสนา ที่มีคำสอนว่า โลกหน้าไม่มี คือ สอนให้ไม่เชื่อเรื่องปรโลกอันเป็นที่อยู่ของชีวิตหลังความตาย พวกมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงเปิดเผยความจริงของชีวิตหลังความตายว่า ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วมีสถานที่รองรับสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วพระองค์ก็ทรงส่งสาวกที่เป็นพระอรหันต์ที่บรรลุธรรมตามพระองค์ออกไปเผยแผ่ธรรมะ ทำให้คนทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเบาบางลงไปบ้าง
ในที่นี่จะขอยกตัวอย่างของผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องปรโลกในสมัยพุทธกาล และพยายามจะพิสูจน์เรื่องปรโลกนี้ ด้วยการทดลองต่างๆ ซึ่งจะเรียกว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ยุคนั้นก็ไม่น่าจะผิด บุคคลท่านนี้ คือ พระเจ้าปายาสิ ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองเสตัพยนคร แคว้นโกศล เป็นผู้มีความเห็นผิดเรื่องโลกนี้โลกหน้าอย่างมาก แต่ได้รับการไขปัญหานี้จากพระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นพระอรหันต์ มีคุณวิเศษในการแสดงธรรมได้อย่างวิจิตร พิสดาร และเป็นผู้มีตาทิพย์รู้เรื่องปรโลกเป็นอย่างดี ซึ่งขอนำวิธีการนั้นในลักษณะถามตอบ (ปุจฉาพยากรณ์) ให้พระยาปายาสิตอบคำถามนั้นเอง นำมาเสนอให้ทุกท่านได้รับทราบเป็นกรณีศึกษา โดยจะขอสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้
พระยาปายาสิ* ได้กราบเรียนพระเถระถึงเรื่องที่ตนมีความเห็นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ที่ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี พระเถระฟังแล้ว ทำการอนุเคราะห์ด้วยการถามตอบ ดังนี้
พระเถระ : ท่านพระยาตามที่ท่านเห็นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ที่ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำ ชั่วไม่มี ถ้าอย่างนั้น อาตมาขอถามความเห็นของท่านว่า พระจันทร์ พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกนี้ หรือโลกอื่น เป็นเทวดาหรือมนุษย์
พระยาปายาสิ : พระจันทร์ พระอาทิตย์มีอยู่ในโลกอื่น ไม่ใช่โลกนี้ เป็นเทวดาไม่ใช่มนุษย์
พระเถระ : ท่านพระยา จากคำตอบของท่านแสดงว่า โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี
พระยาปายาสิ : ถึงแม้พระคุณเจ้าจะกล่าวเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีเหตุผลที่ต้องขอยืนยันความเห็นเดิม คือ โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
พระเถระ : ท่านมีเหตุผลอะไรสนับสนุนความเห็นของท่านอีกหรือ
พระยาปายาสิ : มี พระคุณเจ้า
พระเถระ : มีว่าอย่างไร
การพิสูจน์ปรโลกฝ่ายทุคติ (นรก)
พระยาปายาสิ : พระคุณเจ้า ข้าพเจ้ามีญาติมิตรที่ชอบฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด มักได้ มีความเห็นผิด ชอบปองร้ายผู้อื่น ครั้นเมื่อพวกเขาคนใดคนหนึ่งป่วยหนัก คงจะไม่หายต้องตายแน่ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปพูดกับเขาว่า มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมี ความเห็นว่า บุคคลที่ประพฤติอกุศลกรรมบถ 10 เมื่อตายแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ ฉะนั้นเมื่อเขาตายไปแล้ว ถ้าพบว่า ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นจริงถูกต้อง ขอให้กลับมาบอกข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจะยอมเชื่อโดยปราศจากความสงสัย ญาติมิตร เหล่านั้นรับคำ แต่เมื่อพวกเขาตายแล้ว ไม่เคยปรากฏว่ามีญาติมิตรที่ตายไปแล้ว กลับมาบอกข้าพเจ้าเลย เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอยืนยันความเห็นของข้าพเจ้า ดังกล่าวแล้วนั้น
พระเถระ : ท่านพระยา ถ้าอย่างนั้น อาตมาขอถามใหม่ว่า ถ้าพวกเจ้าหน้าที่ของท่านพระยา จับโจรมาได้ แล้วพามาให้ท่านพระยา ตัดสินลงโทษ ท่านพระยาก็สั่งเจ้าหน้าที่ให้ ลงโทษประหารชีวิตโจรนั้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่มัดมือโจรไพล่หลัง โกนหัว ตีบัณเฑาะว์ พาตระเวนไปทั่วพระนครตามคำสั่งของท่านแล้ว ก็นำโจรไปนั่งบน ตะแลงแกง เพื่อเตรียมตัดศีรษะ โจรจึงขอร้องเจ้าหน้าที่ให้ผ่อนผัน อนุญาตให้เขาได้มีโอกาสเดินทางไปร่ำลาญาติมิตรสหายที่บ้าน หรือที่นิคมที่อยู่ห่างไกลจากนั้นเสียก่อน แล้วจะกลับมาขึ้นตะแลงแกงให้ตัดศีรษะ ถามว่าเจ้าหน้าที่ของท่านพระยาจะยอมผ่อนผันตามคำอ้อนวอน หรือจะตัดศีรษะ
พระยาปายาสิ : พระคุณเจ้า เจ้าหน้าที่ฆ่าโจรคงจะตัดศีรษะโจรทันที โดยไม่อนุโลมผ่อนผันตามคำอ้อนวอนร้องขอเป็นแน่
พระเถระ : ท่านพระยา ทั้งโจรทั้งเจ้าหน้าที่ประหาร ต่างก็เป็นมนุษย์ในเมืองเดียวกัน โจรยังไมjได้่รับการผ่อนผันให้รอการตัดศีรษะไว้ก่อนเลย แต่ญาติมิตรของท่านพระยาที่สร้างอกุศลกรรมอันหนักหน่วง ต้องได้รับโทษทัณฑ์ถึงขั้นไปบังเกิดในนรก แล้วไฉนเลยนายนิรยบาล ซึ่งไม่ใช่มนุษย์จะสั่งให้รอการลงโทษไว้จนกว่าญาติมิตรของท่านจะนำความมาบอกท่าน แล้วค่อยกลับไปรับโทษเล่า ด้วยเหตุผลนี้ ท่านพระยาพึงเข้าใจเถิดว่า โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วมี
พระยาปายาสิ : พระคุณเจ้า ความเห็นของพระคุณเจ้าน่าจะเป็นจริง แต่ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังมีเหตุผลอื่นที่ต้องยืนยันความเห็นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
พระเถระ : ท่านพระยา ยังมีเหตุผลอย่างอื่นอีกหรือ
พระยาปายาสิ : ยังมีอีก
พระเถระ : ท่านพระยา อาตมาอยากฟังเหตุผลของท่าน
การพิสูจน์ปรโลกฝ่ายสุคติ (สวรรค์)
พระยาปายาสิ : พระคุณเจ้า ข้าพเจ้ามีญาติมิตรที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มักได้ ไม่ปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นชอบ ครั้นเมื่อพวกเขาคนใดคนหนึ่งป่วยหนัก คงจะไม่หายต้องตายแน่ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปพูดกับเขาว่า มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีความเห็นว่า บุคคลที่ประพฤติกุศลกรรมบถ 10 เมื่อตายแล้วจะต้องไปสู่สุคติโลกสวรรค์ หลังจากละโลกนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเขาย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ถ้าความเห็นนี้เป็นจริง ขอให้พวกเขากลับมารายงานให้ข้าพเจ้าทราบด้วย แล้วข้าพเจ้าจะยอมเชื่ออย่างสนิทใจ ญาติมิตรเหล่านั้นก็รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ไม่เคยปรากฏเลยว่า จะมีญาติมิตรคนใดกลับมารายงานเองทั้งไม่เคยส่งใครมา บอกให้ทราบด้วย เพราะเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงขอยืนยันมั่นคงในความเห็นของ ข้าพเจ้าว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์ผุดเกิดไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี
พระเถระ : ท่านพระยา ถ้าเช่นนั้น อาตมาจะอุปมาให้ฟัง เพราะวิญญูชนผู้เป็นนักปราชญ์บางพวกในโลกนี้ สามารถเข้าใจสาระสำคัญของธรรมภาษิตได้ด้วยถ้อยคำอุปมา ท่านพระยา สมมุติว่ามีชายคนหนึ่งตกลงไปในบ่อคูถ (อุจจาระ) จนมิดศีรษะ ท่านพระยาเห็นแล้ว รู้สึกสงสารชายคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงสั่งบรรดาเจ้าหน้าที่ให้ช่วยกันดึงชายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นขึ้นจากบ่อ แล้วช่วยทำความสะอาดให้เป็นพิเศษ ด้วยการใช้ไม้ไผ่ซีกครูดอุจจาระออกจากผิวกายชายผู้นั้นให้เกลี้ยง ใช้ดินสีเหลือง สำหรับขัดตัว ขัดผิวให้ 3 ครั้ง ใช้น้ำมันชโลมกายให้ทั่ว เอาจุณ (ผงละเอียดหรือแป้งหอม) ละเอียดลูบไล้กาย 3 ครั้ง จนดูผิวเนียนสะอาดหมดจด จัดแต่งหนวดและทรงผมให้สวยงาม พรมน้ำอบน้ำหอมให้มากๆ หาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มขาวสะอาดมาให้ใส่ หาเครื่องทองเครื่องเพชรมาให้ประดับ พร้อมทั้งมีพวงดอกไม้ประดับกายตามควร แล้วให้พักอยู่ชั้นบนของปราสาท ที่ตกแต่งไว้อย่าง สวยงามวิจิตรตระการตา พร้อมสรรพด้วยเครื่องบำเรอกามคุณ 5 ไม่มีขาดตก บกพร่อง ถามว่า ชายผู้นั้นยังอยากจะจมลงในบ่อคูถอีกหรือไม่
พระยาปายาสิ : ไม่หรอก พระคุณเจ้า เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปรารถนาอย่างนั้น
พระเถระ : เพราะเหตุใด
พระยาปายาสิ : พระคุณเจ้า บ่อคูถนั้น ทั้งสกปรก ทั้งเหม็น ทั้งน่าเกลียดเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล ไยเขาจะปรารถนาจมลงไปอีก
พระเถระ : พระยาปายาสิ อุปมาข้อนี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น กล่าวคือ พวกมนุษย์ทั้งไม่สะอาด ทั้งนับว่าไม่ สะอาด ทั้งกลิ่นเหม็น ทั้งนับว่ากลิ่นเหม็น ทั้งน่าเกลียด ทั้งนับว่าน่าเกลียด ทั้งปฏิกูล ทั้งนับว่าปฏิกูล กลิ่นมนุษย์เหม็นคลุ้งขึ้นไปถึงเทวดาตั้งร้อยโยชน์ บรรดาญาติมิตรสหายของท่านที่ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ไยเขาจึงอยากจะกลับมาบอกท่านอีกเล่า เพราะเหตุนี้แหละ ท่านพระยาจึงควรเห็นว่า โลกอื่นมี สัตว์ผุดเกิดมี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมี
จากบทสนทนาข้างต้นระหว่างพระกุมารกัสสปะกับพระยาปายาสิ เป็นการอธิบายโดยใช้อุปมาอุปมัยให้เห็นภาพตามจริงที่พระเถระท่านรู้ด้วยญาณทัสสนะของท่าน แต่เนื่องจากพระยาปายาสิเป็นนักทดลอง จึงมีข้อโต้แย้งมาก แต่เมื่อแย้งจนหมดข้อสงสัยแล้วจึงยอมรับความจริง ซึ่งในหัวข้อนี้ขอนำเสนอเพียงการโต้ตอบ 2 เรื่อง คือ การเดินทางไปสู่ทุคติ และสุคติเท่านั้น ยังมีรายละเอียดอีกมาก โดยสามารถหาอ่านได้จากพระไตรปิฎก ในปายาสิราชัญญสูตร
จากบทสนทนานี้ ทำให้เราได้ข้อสรุปว่า การพิสูจน์โดยการนึกคิด หรือทดลองด้วยทฤษฎีที่ตนคิดค้นขึ้นมา ไม่สามารถที่จะหาคำตอบในเรื่องปรโลกได้ แม้พระเถระจะอุปมาได้ดีเพียงใด แต่ถ้าไม่เห็นด้วยตัวเอง ความเชื่อมั่นเรื่องปรโลกก็ไม่ได้เต็มร้อย ทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้เต็มร้อย ก็จะต้องศึกษาจากพุทธวิธีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จึงจะได้คำตอบในเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง จนหมดความสงสัยในที่สุด
*ปายาสิราชัญญสูตร, ทีฆนิกาย มหาวรรค, มก.เล่ม 14 ข้อ 301-306 หน้า 369-375.